บทที่ 2
ความสัมพันธ์ผลึกน้ำกับพลังคลื่นเสียง
ความสัมพันธ์ผลึกน้ำกับคลื่นเสียงจากหนังสือข่าวจากน้ำ
การวิจัยที่ก่อให้เกิดความตื่นตัวอย่างใหญ่หลวงต่อความสำคัญของคลื่นเสียงที่มีอิทธิพลต่อมนุษย์ คือ การวิจัยเรื่องผลึกน้ำของนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น ชื่อ มัตซูระ อิโมโต
จากหนังสือข่าวจากน้ำ (Massage from Water) เขาได้ค้นพบวิธีถ่ายภาพผลึกน้ำ (Water Crystal) โดยนำน้ำมาทำให้เย็นจัดจนตกผลึกที่เขาได้ทำการถ่ายรูปผลึกน้ำในภาวะที่แตกต่างกันด้วยกล้องขยายขนาด 200-500เท่า แล้วมาเปรียบเทียบ
จากการวิเคราะห์ผลึกของน้ำที่สังเกตได้พบว่าผลึกน้ำแบ่งออกเป็นสองแบบใหญ่ ๆ ได้แก่
แบบที่ 1 ผลึกน้ำที่มีคุณภาพดี
มีลักษณะเป็นผลึกน้ำที่เป็นรูปผลึกหกเหลี่ยม ซึ่งเป็นผลึกน้ำที่มีคุณภาพที่สุด จะอยู่ในแหล่งน้ำที่มีคุณภาพต่าง ๆ เช่น ในน้ำแร่ที่มีคุณภาพสูง เป็นต้น จากการวิจัยทางการแพทย์สมัยใหม่เกี่ยวกับคุณประโยชน์แห่งน้ำต่อร่างกาย พบว่าผลึกน้ำแบบนี้ถ้ามีอยู่ในอวัยวะหรือร่างกายส่วนใดจะมีคุณสมบัติพิเศษในการสามารถจะแทรกผ่านผนังเซลล์ของร่างกายเข้าไปชะล้างของเสียที่อยู่ภายในเซลล์ออกมาได้ดี ลดความเสี่ยงของการสะสมสารพิษที่ก่อให้เกิดเป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็งบริเวณร่างกายส่วนนั้น
แบบที่สอง ผลึกน้ำที่ไม่มีคุณภาพ
เป็นผลึกน้ำที่ไม่เป็นรูปผลึก เป็นผลึกน้ำที่ไม่มีคุณภาพ จะอยู่ในแหล่งน้ำที่มีคุณภาพไม่ดี เช่นแหล่งน้ำประปาที่ผ่านคลอรีนสูง ๆ ผลึกน้ำแบบนี้ถ้าอยู่ในอวัยวะหรือร่างกายส่วนใดจะมีคุณสมบัติต่ำในการขับล้างสารพิษในเซลล์ เนื่องจากเป็นผลึกที่มีโมเลกุลใหญ่มีความยากลำบากที่จะแทรกผนังเซลล์เข้าไปชะล้างสารพิษในเซลล์ออกมา
เขาได้นำน้ำจากแหล่งที่มีคุณภาพดีให้ผ่านการรับพลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากอุปกรณ์ใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น เตาไมโครเวฟ โทรศัพท์เคลื่อนที่ คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ พบว่ามีผลทำให้ผลึกน้ำเปลี่ยนแปลงไปเป็นผลึกน้ำที่ไม่มีคุณภาพ
ผลึกน้ำก่อนและหลังการรับคลื่นจากเตาไมโครเวฟ
ผลึกน้ำก่อนและหลังการรับคลื่นจากโทรศัพท์เคลื่อนที่
ผลึกน้ำก่อนและหลังการรับคลื่นจากโทรทัศน์
ต่อมาได้ทำการทดลองจัดให้ผลึกน้ำรับพลังคลื่นเสียงจากดนตรีป๊อป ดนตรีคลาสสิคและดนตรีร๊อคเฮฟวี่เมททัล พบว่าเกิดปรากฏการณ์ความแตกต่างของผลึกน้ำได้อย่างน่าสนใจ คือผลึกน้ำที่ส่งผ่านพลังคลื่นเสียงจากเพลงป๊อบชื่อเพลง Yesterday ของ The Beatle และดนตรีคลาสสิค มีผลึกน้ำที่สวยงามและเป็นผลึกน้ำที่มีคุณภาพสุง แตกต่างจากผลึกน้ำที่ส่งผ่านพลังคลื่นเสียงจากดนตรีร๊อคเฮฟวี่เมททัล ที่กลายเป็นผลึกน้ำที่ไม่มีคุณภาพ
เพลง Yesterday ของ The Beatle
เพลง Air for the G string ของ Bach
เพลง Pastoral ของ Beethoven
เพลง Swan Lake ของ ไซคอฟสกี้
เพลง Heavy Metal
ได้มีการทดลองต่อไปอีกกับพลังคลื่นเสียงที่ได้จากการสวดมนต์ จากลามะธิเบตและการสวดของบาทหลวง พบว่าให้ผลึกน้ำที่มีคุณภาพสูงและมีความสวยงามคล้ายกับประกายเพชร
เสียงสวดมนต์ของลามะธิเบต
เสียงสวดมนต์ของบาทหลวงศาสนาคริสต์
การทดลองของเขากับผลึกน้ำที่น่าประหลาดใจอย่างมาก ก็คือการทดลองส่งพลังคลื่นเสียงจากมนุษย์ที่พูดออกมาด้วยคำพูดออกมาในเชิงบวก ที่เป็นการเอื้ออาทรต่อมนุษย์ที่มีต่อกัน เช่น ขอบคุณ ขอให้มีความสุข เปรียบเทียบกับพลังคลื่นเสียงของมนุษย์ที่พูดออกมาด้วยคำพูดในเชิงลบภายใต้จิตใจที่คิดร้ายต่อมนุษย์ด้วยกัน เช่น ไอ้โง่ ผลึกน้ำดังกล่าวมีลักษณะเป็นวงดำและมีสีสันรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว การวิจัยก็ได้สร้างความประหลาดใจที่มีการพบว่าคำพูดทางบวกหรือทางลบของมนุษย์ก็มีอิทธิพลต่อมนุษย์ด้วยเป็นอย่างมาก
รักและขอบคุณ
ไอ้บ้า
เทวดา
ปีศาจ
ทำเดี๋ยวนี้นะ
ไอ้โง่
บัดซบฉันจะฆ่าแก
จากการทดลองที่ผ่านมาจะเห็นว่าน้ำเป็นสื่อที่ละเอียดอ่อนที่สามารถจะมีรูปร่างของผลึกน้ำที่จะตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่ส่งอิทธิพลต่อมัน โดยเฉพาะพลังแห่งคลื่นเสียงและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเรา
ดังนั้นการที่ในตัวคนมีน้ำประมาณ 70 % ของน้ำหนักร่างกาย กระจายอยู่เป็นองค์ประกอบในเซลล์ร่างกายดังนั้นรูปร่างผลึกน้ำในร่างกายและในอวัยวะของเราย่อมได้รับผลกระทบทั้งทางบวกและลบจากอิทธิพลแห่งพลังคลื่นเสียงจากสิ่งแวดล้อมภายนอกหรือแม้แต่พลังแห่งความคิดของตนเองและผู้อื่นด้วย
ซึ่งถ้าอวัยวะส่วนใดได้รับอิทธิพลในทางลบจะมีผลทำให้อวัยวะส่วนนั้นเกิดผลึกน้ำที่มีรูปร่างใหญ่สีดำน่าเกลียด ขาดคุณสมบัติที่จะไปแทรกผนังเซลล์เข้าไปชะล้างของเสียภายในเซลล์ได้ มีผลทำให้เกิดการสะสมสารพิษในอวัยวะส่วนนั้นทำให้เกิดเนื้องอก มะเร็ง หรือการเจ็บป่วยแก่อวัยวะส่วนนั้นได้ จากผลของการเสียหายของอวัยวะดังกล่าว จะส่งผลกระทบในทางลบต่ออวัยวะอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ในทางตรงกันข้ามซึ่งถ้าอวัยวะส่วนใดได้รับอิทธิพลในทางบวกจะมีผลทำให้อวัยวะส่วนนั้นเกิดผลึกน้ำที่มีรูปร่างหกเหลี่ยมมีคุณสมบัติที่จะไปแทรกผนังเซลล์เข้าไปชะล้างของเสียภายในเซลล์ได้อย่างง่ายดาย มีผลทำให้ไม่มีสารพิษสะสมในอวัยวะส่วนนั้น มีผลทำให้อวัยวะส่วนนั้นแข็งแรงมีสุขภาพดี ส่งผลให้บุคคลผู้นั้นมีสุขภาพร่างกาย อารมณ์และจิตใจที่ดี
ดังนั้นในฐานะที่มนุษย์ที่มีน้ำเป็นองค์ประกอบในร่างกายสามในสี่ส่วน อิทธิพลแห่งคลื่นเสียงย่อมมีอิทธิพลทั้งทางบวกและทางลบต่อร่างกายมนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นการพลังการสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงที่มีคุณภาพ ซึ่งมีพลังที่บริสุทธิ์หรือคล้องจองกับการสั่นสะเทือนของเซลล์ในอวัยวะต่าง ๆ เช่น เสียงดนตรี เสียงสวดมนต์ ที่เลือกสรรอย่างถูกหลักวิชาการและจิตวิญญาณ ก็ย่อมเป็นระบบการบำบัดที่มีเหตุผลสำหรับการรักษาสุขภาพ ถ้าใช้อย่างเหมาะสมกับร่างกายในสถานที่เหมาะสมและเวลาที่เหมาะสม การที่เราได้รับน้ำที่มีคุณภาพ ,พลังคลื่นเสียงแห่งดนตรี,บทสวดมนต์และพลังแห่งคำพูดในเชิงบวก ย่อมจะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับเขาเป็นอย่างดี
ทฤษฎีทางฟิสิกส์เกี่ยวกับพลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในร่างกายมนุษย์
ทฤษฎีทางฟิสิกส์
สสารทุกชนิดจะอยู่ในสภาวะที่มีการสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ในระดับอนุภาคของอะตอม เป็นผลทำให้ ก่อให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้น
การสั่นสะเทือนภายในเซลล์ของร่างกายมนุษย์ มีผลทำให้ ก่อให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้นตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ด้วยเครื่องมือตรวจวัดความร้อนที่เรียกว่าเทอร์โมกราฟฟี่จากภาพโดยแสดงผลออกมาเป็นแสงสีต่าง ๆ ตามอุณภูมิความร้อนที่เกิดจากพลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
ทฤษฎีการบำบัดด้วยพลังคลื่นเสียง
1. อวัยวะและเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายมีการตอบสนองต่อแรงอัดและแรงขยายแต่ละอย่างแตกต่างกัน
2.แต่ละส่วนของร่างกายจะมีการสะท้อนเสียงได้ตามธรรมชาติและมีการตอบสนองได้ดีกับเสียงที่สั่นสะเทือนในระดับเดียวกัน
3. ความสั่นสะเทือนที่ไม่ประสานกันกับแต่ละส่วนของร่างกายจึงอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้
เหตุที่ความสั่นสะเทือนที่ไม่ประสานกันก่อให้เกิดอันตรายต่อเซลล์ในร่างกายได้ เนื่องจากปกติเซลล์ร่างกายจะเลือกรับรังสีหรือการสั่นสะเทือนปกติจากสภาพแวดล้อมยามที่ต้องการ แต่ถ้าความเข้มของรังสีและการสั่นสะเทือนของสภาพแวดล้อมมีมาก เซลล์อาจจะดูดซับเข้าไปแม้เมื่อไม่ต้องการก็ตาม การสั่นสะเทือนมากเกินไปเนื่องจากสภาวะการสั่นสะเทือนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ไม่เหมาะสมในสภาพแวดล้อม เซลล์ร่างกายที่ได้รับการอัดประจุมากเกินไปก็อาจทำให้เซลล์นั้น ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับความถี่และรูปแบบการเจริญเติบโตไปจนถึงจุดเสียหายได้ โดยมีแนวโน้มที่จะกลายสภาพเป็นเซลล์ที่ขาดการสั่นสะเทือน ซึ่งมีสภาพคล้ายกับเซลล์ที่ขาดสารอาหาร โดยมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนขั้วเป็นกลาง และเปลี่ยนความถี่ นั่นคือการเปลี่ยนรูปแบบการเจริญเติบโตของมัน
ซึ่งพลังคลื่นความถี่ดังกล่าวทำให้เกิดปฏิกิริยาสร้างมลภาวะได้เช่นเดียวกับอาหารที่เป็นพิษ มลภาวะสามารถเปลี่ยนสนามพลังแม่เหล็กไฟฟ้า หรือความถี่ของเซลล์ทำให้ก่อเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ต่อสนามพลังใหญ่ของอวัยวะ เนื่องจากว่าเมื่อเซลล์บริเวณอวัยวะใดเกิดความเสียหายจำนวนมาก อวัยวะนั้นๆก็จะเกิดความเสียหายจนทำให้มีการทำงานที่ผิดปกติไป ซึ่งจะกระทบต่อระบบของร่างกายตลอดร่าง ปฏิกิริยาลูกโซ่แบบนี้สามารถนำไปสู่การเหนื่อยล้าแบบเรื้อรัง หมดแรง และเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุ
การมีสุขภาพที่ไม่ดีหรือมีโรค เชื่อว่ามีผลทำให้ความถี่ของการสั่นสะเทือนของเซลล์และ
อวัยวะต่าง ๆ ผิดไป ดังนั้นหลักการแห่งการบำบัดด้วยคลื่นเสียงส่วนใหญ่จึงมีจุดประสงค์เพื่อฟื้นฟูและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับความถี่นี้ในอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย โดยการส่งคลื่นที่ประสานกันได้อย่างกลมกลืนไปยังจุดที่มีปัญหา ดังนั้นการสั่นสะเทือนที่บริสุทธิ์หรือคล้องจองกับการสั่นสะเทือนของเซลล์ในอวัยวะต่าง ๆ เช่น เสียงดนตรี เสียงสวดมนต์ ที่เลือกสรรอย่างถูกหลักวิชาการและจิตวิญญาณ ก็ย่อมเป็นระบบการบำบัดที่มีเหตุผลสำหรับการรักษาสุขภาพ ถ้าใช้อย่างเหมาะสมกับร่างกายในสถานที่เหมาะสมและเวลาที่เหมาะสม
เสียงอาจนำมาใช้ในการรักษาได้อีกหลากหลายวิธี เช่น ส่วนการบำบัดด้วยคลื่นเสียงด้วย
การร้องเพลง หรือการสวดมนต์ ผู้รับการบำบัดจะได้รับการฝึกการเปล่งเสียงเพื่อรักษาตัวเอง อาจทำคนเดียว หรือเป็นหมู่คณะก็ได้ และไม่จำเป็นต้องร้องเพลงเป็นหรือมีความรู้ทางดนตรีมาก่อน ส่วนแนวทางอื่น ๆ ได้แก่ ดนตรีบำบัดและนาฎบำบัด และนักบำบัดบางคนจะใช้การร้องเพลงและการสวดมนต์เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการหายใจ เพื่อให้เกิดการผ่อนคลายและกระตุ้นให้ร่างกายมีพลังในการเยียวยาตัวเอง ซี่งจะได้ผลใกล้เคียงกับการทำสมาธิและการฝึกโยคะ กล่าวกันว่าถ้านำการบำบัดด้วยคลื่นเสียงนี้ไปใช้กับคนเป็นคู่ ๆ หรือเป็นกลุ่มจะสามารถกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกัน และช่วยให้แต่ละคนปรับตัวเข้าหากันได้ดีขึ้น
นักดนตรีบำบัดชื่อ เฟเบียน มาแมนเชื่อว่า เมื่อได้ฟังเสียงที่เปล่งออกมา และเสียงสะท้อน
ของพลังงานในร่างกายของคนคนหนี่งแล้ว เขาสามารถเลือกเสียงเฉพาะที่เข้ากับเขาคนนั้น และทำให้เขามีสุขภาพดีได้ มาแมนอ้างว่าคลื่นเสียงที่คัดสรรมาเป็นอย่างดีอาจโจมตีเซลล์เชื้อโรคและเสริมสร้างเซลล์ที่แข็งแรง จึงช่วยเยียวยาโรคบางอย่างได้ ซึ่งการมีสุขภาพที่ไม่ดีหรือมีโรค เชื่อว่ามีผลทำให้ความถี่ของการสั่นสะเทือนของเซลล์และอวัยวะต่าง ๆ ผิดไป การบำบัดด้วยคลื่นเสียงส่วนใหญ่จึงมีจุดประสงค์เพื่อฟื้นฟูและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับความถี่นี้โดยการส่งคลื่นที่ประสานกันได้อย่างกลมกลืนไปยังจุดที่มีปัญหา
นอกจากนี้จากคัมภีร์ทางโยคะศาสตร์หรือคัมภีร์จีนในลัทธิเต๋าก็ได้พูดถึงการใช้พลังคลื่นเสียงจากการเปล่งของมนุษย์หรือการสร้างสรรค์ดนตรีชนิดพิเศษขึ้นมา เพื่อการพัฒนาศักยภาพมนุษย์และการบำบัดโรค สำหรับคัมภีร์จีน ได้พูดถึงความเชื่อเกี่ยวกับธาตุทั้งห้า ได้แก่ ธาตุดิน,ธาตุทอง,ธาตุน้ำ,ธาตุไม้,และธาตุไฟ ซึ่งเกี่ยวพันกับอวัยวะสำคัญในร่างกาย ได้แก่ ม้าม,ปอด,ไต,ตับและหัวใจ หรือคัมภีร์ทางโยคะศาสตร์ พูดถึงศูนย์พลังทั้ง 7 ที่เกี่ยวพันกับการกระตุ้นต่อมไร้ท่อต่าง ๆและการเดินทางขอ ที่สำคัญในร่างกาย ดังนั้นตามคัมภีร์โบราณก็มีการให้ความรู้และบทเรียนเพื่อการฝึกปฏิบัติตนในด้านการพัฒนาศักยภาพมนุษย์เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาสมาธิระดับสูงและมุ่งสู่การหลุดพ้น ด้วยการเปล่งเสียงที่ให้คลื่นเสียงต่าง ๆ กันสู่ส่วนต่าง ๆ หรืออวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายแต่ละส่วน เพื่อส่งคลื่นเสียงที่มีความสั่นสะเทือนอย่างเหมาะสมกับกับธรรมชาติและความต้องการของอวัยวะส่วนต่าง ๆ เหล่านั้นดีกับคลื่นเสียงที่สั่นสะเทือนในระดับเดียวกันที่ถูกส่งออกมาจากการเปล่งเสียง เพื่อกระตุ้นศักยภาพภายในร่างกายให้เกิดความสมดุลย์และเสริมสร้างพลังสมาธิระดับสูง นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านดนตรีที่ได้ศึกษาคัมภีร์โบราณเหล่านั้น ได้นำความรู้เหล่านี้มาผลิตเป็นดนตรีที่ให้คลื่นเสียงในรหัสเดียวกับการเปล่งเสียงตามคัมภีร์โบราณ ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในกลุ่มผู้ฝึกปฏิบัติทางจิตระดับสูง
สรุปได้ว่าในการบำบัดอวัยวะและเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย ถ้าได้มีการจัดพลังแห่งคลื่นเสียงที่เหมาะสมเข้าบำบัดในร่างกายและอวัยวะส่วนต่าง ๆ จะช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจได้เป็นอย่างดี พลังคลื่นเสียงที่ได้จากดนตรีมักเป็นดนตรีทางศาสนาและลัทธิความเชื่อ เช่น ดนตรีทางโยคะศาสตร์และดนตรีพลังธาตุของลัทธิเต๋า ที่เน้นแนวทางการบำบัดรักษาร่างกายตามส่วนต่าง ๆ ของอวัยวะภายใน ซึ่งความบกพร่องทางสมองของกลุ่มเด็กพิเศษแนวทางบำบัดด้วยพลังคลื่นเสียงดังกล่าวอาจฟื้นฟูเขาขึ้นมาก็ได้
ปัจจุบันได้มีการสร้างองค์ความรู้เกิดวิชาใหม่ที่เรียกว่าวิชาดนตรีบำบัด ซึ่งเป็นวิชาที่ว่าด้วยการนำดนตรีและองค์ประกอบของดนตรี และกิจกรรมการฝึกทักษะทางดนตรีมาประยุกต์เพื่อเบี่ยงเบนพฤติกรรม ใช้บำบัดร่างกายและจิตใจของมนุษย์ ร่วมกับการรักษาแขนงอื่น เพื่อให้การรักษาประสบผลสำเร็จดีขึ้น โดยอาศัยการกระทำอย่างมีหลักเกณฑ์และมีระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นการใช้ดนตรีร่วมกับการสื่อสาร ที่ใช้คำพูดเพื่อนำไปสู่การบำบัดรูปแบบอื่นต่อไป โดยมีการจัดกิจกรรม ที่เรียกว่ากิจกรรมดนตรีบำบัด ซึ่งเป็นการจัดกิจกรรมโดยเน้นที่การใช้เครื่องดนตรี (Music tools) ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยและผู้ให้การรักษาเป็นหลัก เป็นวิธีที่ใช้แก้ปัญหา ที่เป็นผลตามมาจากความบกพร่องทางพัฒนาการ สามารถใช้ได้ง่ายและใช้กับผู้ป่วยเป็นกลุ่มได้ การให้ผู้รับการบำบัดเล่นเครื่องดนตรีชนิดนั้น ๆ ได้ เป็นวัตถุประสงค์หนึ่งของกิจกรรมดนตรีเพื่อการบำบัด
นายแพทย์ ดร. ประกอบ ผู้วิบูลย์สุข จิตแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพฯ ได้ให้ข้อมูลในเรื่องนี้ว่า “เราสามารถนำดนตรีบำบัดมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายรูปแบบทั้งในเด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่ เพื่อตอบสนองความจำเป็นที่แตกต่างกันไปทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ เช่น ปัญหาบกพร่องของพัมนาการ สติปัญญาและการเรียนรู้ โรคซึมเศร้า อัลไซเมอร์ ปัญหาการบาดเจ็บทางสมอง ความพิการทางร่างกาย อาการเจ็บป่วยและภาวะอื่น ๆ สำหรับบุคคลทั่วไปก็สามารถใช้ดนตรีบำบัดได้ในแง่ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด และใช้กับการออกกำลังกายเพื่อสร้างสุขภาพที่ดีได้”
ดังนั้นจึงได้มีแนวคิดการใช้ดนตรีเป็นองค์ประกอบในการจัดกิจกรรมให้เด็ก ออทิสติก เพราะว่า ดนตรีเรียกร้องความสนใจของเด็กได้ ทำให้เกิดมีสมาธิ อย่างน้อยเพื่อให้เขาหันมาสนใจและหยุดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ชั่วขณะ ดนตรีช่วยให้เกิดความสนุกสนาน และเร้าให้ร่วมทำกิจกรรมด้วยกัน